

ในวันที่ 16 สิงหาคม 2551 ผมและเพื่อนๆไปรับมอบหมายให้ไปชมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่ไบเทคบางนาในเวลา 14.00 น. เพื่อมาร่วมกิจกรรมในหัวข้อเรื่อง “เรียนวิทยาศาสตร์อย่างไรให้สนุก” ซึ่งเป็นการจัดงานของ สวทช และท่านวิทยากรจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาลัยมหิดล ก็ได้มาฝึกทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ของพวกเราโดยการทดลองนั้นเอง และก่อนการทดลองนั้น ท่านได้อธิบายก่อนว่าจะให้ทำอะไร โดยที่ท่านจะถามไปด้วยอธิบายไปด้วย เพื่อให้เราได้ฝึกคิดว่าเราจะทำอะไร อย่างไร และผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร การทดลองในวันนี้ก็เกี่ยวกับเอนไซม์ ก่อนก่อนท่านก็อธิบายว่า เอนไซม์คือตัวเร่งปฏิกิริยาในการทำอะไรบางอย่าง โดยปกติแล้ว หากไม่มีเอนไซม์มันจะเกิดได้ แต่น้อยและนานมากๆ จนแทบไม่รู้เลยว่ามันเกิด เพราะในการทำปฏิกิริยาใดๆนั้นต้องใช้พลังงานที่สูงมาก แต่เอนไซม์นั้นจะไปช่วยในการลดพลังงานที่ต้องใช้ลงอย่างมาก ทำให้สามารถเกิดปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นท่านจึงให้เราทดลอง 2 การทดลองด้วยกัน
การทดลองแรกนั้นท่านได้บอกว่าเราเคยสังเกตไหมว่าทำไมผลไม้ถึงปลอกมาและทิ้งไว้จะมีสีดำ ผมก็นึกเคยสงสัยว่าทำไม เราจะกินแอปเปิ้ลและปลอกทิ้งไว้ ไปเข้าห้องน้ำออกมาก็ไม่น่ากินแล้ว เป็นสีดำไปหมด แต่มาดูไปดูมาก็ไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไหร่ คือว่าเป็นยางที่มันแห้งเลยเปลี่ยนสีเหมือนเลือดคน ท่านก็บอกว่านี่คือเอนไซม์ ที่ทำให้ผลไม้เปลี่ยนสี มีชื่อว่า Tyrosinase มันจะช่วยในการทำปฏิกิริยาของสารในผลไม้และออกซิเจนในพืชให้เกิดเร็วขึ้น ท่านจึงถามว่าจะทำอย่างไรให้ผลไม้ไม่ดำ ท่านจึงให้ผลมะเขือเปราะมาทดลอง เราก็บอกกันว่าให้เราแช่นำมันไว้ ไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยา เหมือนธาตุโซเดียม และก็มีบางคนบอกว่าน้ำเปล่าบาง น้ำเกลือ น้ำปูนใส น้ำมะนาวบ้าง แล้วท่านก็ให้สารมา 3 ชนิดคือ น้ำ น้ำเกลือ และ น้ำมะนาว และให้ทุกคนลองคิดว่าสารไหนแช่แล้วจะทำให้ดำ ผมก็คิดในใจว่าเป็นน้ำเพราะเวลาดับไปเขาใช้นำไล่ออกซิเจน โดยลืมนึกไปว่า น้ำเกลือ น้ำมะนาวก็ดับไฟได้เช่นกัน ท่านบอกเราว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องถูกต้อง เสมอไป ท่านก็ให้เราทดลอง ซึ่งความยากอยู่ที่เราต้องหั่นมะเขือเปราะให้ขนาดเท่าๆกัน ในเวลาที่ใกล้เคียงกันและรวดเร็วพอสมควร สามารถฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างดีทีเดียว แล้วเราก็รอ ปรากฏว่าในน้ำมะนาวนั้นไม่ดำ ท่านบอกว่าโปรตอนในกรดจะไปจับตัวกับเอนไซม์นั้นเอง ทำให้มันเสียรูปไม่สามารถทำงานได้ มันจึงไม่ดำ เพราะคิดแต่การไม่ให้สารตั้งต้นนั้นเองเราจึงคิดผิด เพราะที่จริงแล้วเราสามารถทำลายตัวเร่งปฏิกิริยาได้ ซึ่งง่ายกว่าและทำได้ดีกว่า จึงทำให้เราได้รู้ว่าเรานั้นไม่ควรคิดอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งพียงด้านเดียวควรคิดหลายแนวทาง ซึ่งการทดลองนี้ได้สอนให้เรารู้อะไรหลายอย่างที่ไม่เคยได้รู้ ทั้งมีประโยชน์ และ สนุกมาก
ต่อมาท่านก็ได้ให้เราทดลองเกี่ยวกับเราเอนไซม์อีก โดยเอนไซม์ตัวนี้ชื่อว่า Catalase โดยมันจะช่วยเร่งปฏิกิริยาในการแตกตัวของ H2O2 ให้กลายเป็น H2O และ O2 ท่านอธิบายว่าเอนไซม์ตัวนี้ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาในร่างกายเพื่อกำจัด H2O2 ออกไปโดยเปลี่ยนให้เป็นน้ำ และออกซิเจน ซึ่งเป็นสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการหลังจากการเผาผลาญพลังงานงาน เพราะถ้ามีมากจะเป็นพิษต่อร่างกาย ท่านจึงให้ทายว่าเอนไซม์ตัวนี้จะอยู่ที่ไหน เราก็คิดว่าต้องอยู่ในเซลล์ที่ต้องการพลังงานมากๆอย่างแน่นอน ปรากฏว่ามันไม่ได้เพราะมากที่ไหนแต่พบมากที่ตับนั้นเอง ตับต้องกำจัดสารพิษจากร่างกายทำให้จำเป็นต้องมีเอนไซม์ตัวนี้มาก ทำให้ผมได้คิดว่ามันไม่จำเป็นต้องกำจัดตรงที่ทีสารพิษเกิดแต่ว่ามันจะกำจัดตับซึ่งทำหน้าที่ ทำให้รู้ว่าอวัยวะต่างๆมันจะมีหน้าที่ของมันเอง แต่ว่าเราไม่มีตับคน และ H2O2 บริสุทธิ์ เราจึงดัดแปลงทำให้เกิดกระบวนการคิด เปลี่ยนเป็นตับหมู และใช้ H2O2 จากน้ำยาล้างแผลแทน แต่ปัญหาคือเราจะทำไปทำไม พอดีมีเพื่อนแอบดูสิ่งที่จะมาทดลองเราจึงรู้ว่า ให้ทดลองเกี่ยวกับอุณหภูมิ ท่านจึงถามว่ามันจะทำงานได้ดีในอุณหภูมิไหน คือร้อน เย็น และอุณหภูมิร่างกาย ผมจึงคิดว่าต้องเป็นอุณหภูมิร่างกายอย่างแน่นอน เพราะเราได้นำความรู้เดิมมาใช้ ว่าเอนไซม์จะต้องทำงานได้ดีในสภาพที่เหมาะสม ซึ่งตับอยู่ในคนก็ต้องน้ำอุณหภูมิร่างกาย เราจึงทดลองโดยใช้ H2O2 ในปริมาณที่เท่ากันใส่ตับลงไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าไม่มีมีด เราจึงใช้ไม้จิ้มฟันแทน จิ้มให้ตับติดขึ้นมาในปริมาณที่เท่ากัน และแช่ลงไปในอุณหภูมิที่เท่าๆกัน และรีบทำให้มากทีสุดเพราะอุณหภูมิจะไม่เท่าเดิม แลดงว่าต้องมีความคลาดเคลื่อนได้นักวิทยาศาสตร์จึงต้องทดลองซ้ำๆหลายๆครั้ง และเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอุณหภูมิไหนมากกว่ากัน เราไม่รู้ว่า H2O2 กับเอนไซม์หายไปเท่าไหร่ แต่เราสามารถดูได้จากปริมาณออกซิเจนหรือฟองแก๊สที่เกิดขึ้นได้ เมื่อทดลองปรากฏว่ามันคืออุณหภูมิร่างกายจริงๆ ทำให้เราได้รู้ถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สามารถนำไปใช้ในการทำโครงงานได้ดีอย่างมาก ทำให้นึกถึงคำของ อาจารย์นิพนธ์ ที่วา เราต้องเล่นและนำความรู้มาจับ ซึ่งก็จริงอย่างที่ท่านพูดจริงๆ
หลังจากได้ร่วมกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย ซึ่งมีประโยชน์สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในการทำโครงงาน ต้องขอขอบคุณท่านวิทยากรที่ให้ความรู้และสอนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้วิทยาศาสตร์ที่สนุก สนุกมากขึ้นจริงๆ และต้องขอขอบคุณ อาจารย์นิพนธ์ ที่ให้เราได้ร่วมกิจกรรมที่ดีอย่างนี้และเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้ต่อไป
หลังจากนั้นเราก็ไปร่วมกิจกรรมอื่นอีกมากมายทำให้ได้รู้อะไรใหม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อย่างมาก


1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณนะคะ.. ^/\^ ได้ความรู้มากๆเลย...
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ.. เผื่อมีความรู้อะไรดีๆอย่างนี้มาฝากอีก ^^
แสดงความคิดเห็น