วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

เก่งและดี

ผมและเพื่อนๆได้มีโอกาสได้รับการฟังคำบรรยายเรื่องเก่งและจากหมอที่มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย ซึ่งทุกคนในประเทศต้องไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะท่านทำงานด้วยวิชาทางการแพทย์เพื่อสังคมไทยมานานมีชื่อว่า แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ซึ่งมาทราบว่าเป็นป้าของรุ่นพี่ก็ดีใจไปอีก ท่านได้มาให้ความรู้มากมายและน่าประทับใจไม่มีเบื่อ ท่านบรรยายไปพร้อมกันภาพประกอบที่จัดเตรียมมาอย่างดี ทำให้รู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างหมอทำงานอย่างไรในการเตรียมงานครั้งนี้ท่านคงตั้งใจมากๆ ท่านได้สอนและให้ความรู้แก่พวกเราในหัวข้อเรื่อง “เก่งและดี” ซึ่งมีประโยชน์มาก ท่านสอนโดยใช้ประสบการณ์ของตนเอง ในฐานะที่ท่านประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ท่านได้บอกว่าพวกเราเป็นเด็กที่ฉลาดและจะเป็นสมองของชาติในอนาคต ท่านบอกว่า หากเก่งแล้วไม่ดีก็ไม่มีประโยชน์เลยที่จะเก่ง นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเป็นคนที่ดีด้วย เพราะถ้าหากเป็นไม่เป็นคนดี แล้วเราจะใช้ความเก่งของเราไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่าที่ไม่แต่ความเก่งแต่นำไปใช้ไม่ได้ นี่คือความคิดของผมหลังจากที่ท่านได้สอน เพราะท่านได้สอนและปลูกฝังความเป็นคนดีในหัวใจของพวกเราทุกคน ท่านบอกอีกว่า เด็กที่ฉลาดนั้นมักฉลาดลึกแต่โง่กว้าง เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินคำพูดนี้ ฟังตอนแรกก็ยังคงไม่เข้าใจว่ามีความหมายว่าอย่างไร แต่มันน่าจะมีความหมายว่า มีความรู้แต่ไม่สามารถเอาตัวรอดในสังคมได้ หรือ ที่โบราณพูดว่า มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ท่านบรรยายได้อย่างดีโดยใช้ประสบการณ์วัยเด็กของท่านจนถึงปัจจุบัน ท่านใช้การเปรียบเทียบที่ให้เห็นภาพว่า การเก่งและดีนั้นเป็นอย่างไร ท่านบอกกับเราว่าที่ท่านรักที่จะทำงานด้านนี้เพราะว่า ได้ช่วยสังคมและไม่ค่อยมีคนอยากทำงานเกี่ยวกับศพ และไม่มีใครมาว่าท่านได้ ถ้าหากท่านจะแต่ตัวตามที่ท่านชอบ ท่านจะพูดว่าเราจะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุขโดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และที่สำคัญขอแค่เป็นคนดี ท่านได้สอนหลักการดำเนินชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเรานำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านได้เล่าถึงคดีต่างๆที่ท่านได้ทำมา และการค้นหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งมันยากมากกว่าจะได้แต่ละชิ้นหนึ่งๆ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทตนของท่าน ที่ควรนำเป็นแบบอย่าง ท่านใช้ภาพแสดงสัจธรรมของโลก ตัวอย่างเช่น การเปรียบเทียบไก่ย่างกับศพ มันหาได้มีอะไรแตกต่างกันเลย และอาหารก่อนกินและขณะอยู่ในกระเพาะอาหารซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของโลก และตอนสุดท้ายท่านได้สอนสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกับเรา คือการจัดการกับความทุกข์ เพราะว่า ความทุกข์=(สิ่งที่ควรเป็น-สิ่งที่เป็น)xอัตรา คือถ้าเราทำอัตราหรือปล่อยวางจนเป็น 0 ได้เราก็จะไร้ซึ่งมากทุกข์ ซึ่งการฟังบรรยายทั้งหมดนั้นมีประโยชน์อย่างมาก และทำให้เรานำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยมที่เดียว เพราะการเป็นคนดีนั้นสำคัญมากกว่าเป็นคนเก่งจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น: